Reverie Clinic

VOLIFIL FILLER

รู้ก่อนใคร! ฟิลเลอร์เกาหลีพรีเมี่ยมตัวใหม่ มีดียังไง?


ปัจจุบันในตลาดความงาม ฟิลเลอร์มีหลายแบรนด์หลายยี่ห้อให้แพทย์ความงามเลือกใช้มากมาย แล้วฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) มีดีอย่างไร แตกต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไรบ้าง ในฐานะที่หมอได้มีโอกาสลองใช้ฟิลเลอร์แบรนด์นี้มาระยะหนึ่ง จะมาเล่าทุกเรื่องเกี่ยวกับฟิลเลอร์โวลิฟิลให้ฟัง

ฟิลเลอร์ คือ hyaluronic acid (ไฮยาลูรอนิค แอซิด ; HA) ซึ่งเป็นสารอุ้มน้ำชนิดหนึ่ง มักพบในสกินแคร์ เครื่องสำอางของสาว ๆ ในหลาย ๆ แบรนด์ เพียงแต่ฟิลเลอร์จะมีความเข้มข้นของ HA มากกว่าในสกินแคร์ โมเลกุลของ HA มีขนาดใหญ่กว่า และมีกระบวนการ Cross-linked เพื่อให้ฟิลเลอร์ขึ้นรูปเป็นเนื้อเจล จับตัวอยู่ทรง มีคุณสมบัติที่นำมาใช้เติมเต็มชั้นผิว เติมร่องลึก เสริมชั้นกระดูก แก้ไขความบกพร่องบนใบหน้าได้

Reverie Clinic

ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) แตกต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร?


การจะเทียบว่าฟิลเลอร์แต่ละแบรนด์แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจประเภทของเนื้อฟิลเลอร์กันก่อน โดยฟิลเลอร์แบ่งตามชนิดของเนื้อเจลได้เป็นสองประเภท

1. Biphasic คือฟิลเลอร์ที่ในเนื้อเจลประกอบไปด้วย HA สองโมเลกุล (เนื้ออ่อน และเนื้อแข็ง) จับกันด้วยพันธะพิเศษ ทำให้เนื้อเจลฟิลเลอร์มีความแข็งแรง คงตัว ขึ้นรูปตั้งทรง และอยู่ได้นาน เหมาะกับงานลิฟติ้ง (Lifting) พยุงเส้นเอ็น เป็นต้น ด้วยความที่มีสองโมเลกุล ทำให้เนื้อเจลมีหลายเนื้อ ไม่สม่ำเสมอ หลังฉีดมีโอกาสเป็นก้อน ไม่เรียบเนียน ไม่เป็นธรรมชาติได้ อย่างไรก็ตามจะเป็นก้อนหรือไม่ ขึ้นกับผิวของคนไข้ การเลือกตำแหน่งที่ใช้และเทคนิคของแพทย์ หากมีความชำนาญ เลือกเนื้อฟิลเลอร์เหมาะสมกับผิวคนไข้ และฉีดถูกตำแหน่ง ผลลัพธ์ก็ออกมาสวย เป็นธรรมชาติได้เช่นกัน

2. Monophasic คือฟิลเลอร์ที่ในเนื้อเจลประกอบด้วยโมเลกุล HA เนื้อเดียว (Crosslinked HA) จึงเหมาะสำหรับใช้เพื่อเติมเต็มร่องลึก ช่วยเพิ่มปริมาตร (Volume) ได้ดี เช่น เติมหน้าแก้ม แก้กระดูกใต้ตาทรุด รวมถึงเหมาะกับคนไข้ที่มีผิวบาง หรือเคยเติมฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน เนื่องจากฟิลเลอร์ชนิดนี้เนื้อเจลเกลี่ยได้ง่าย เบลนไปกับผิวได้ดี หลังเติมจึงให้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียน เป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) เนื้อเจลเป็นชนิดโมเลกุลเดียว หรือ Monophasic มีความเนียนละมุน เรียบเนียน เกลี่ยง่าย เบลนไปกับผิวได้ดี ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นธรรมชาติ เหมาะกับการเติมบริเวณกึ่งกลางของใบหน้าที่ต้องการเพิ่ม Volume เช่น ใต้ตา ปาก หน้าผาก อย่างไรก็ตาม สามารถใช้เติมบริเวณอื่นได้เช่นกัน โดยขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษา

Reverie Clinic

1. ผ่านมาตราฐาน CE mark, ISO 13485


ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) ผ่านมาตราฐาน CE (Conformite Europeene) หรือมาตราฐานความปลอดภัยในสหภาพยุโรป อนุญาตให้จัดจำหน่ายได้ใน 30 ประเทศของเขตเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งในอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์เป็นที่รู้กันดีว่า การขอมาตราฐาน CE นั้นยากมาก ต้องผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนอย่างเข้มงวด หากผลิตภัณฑ์ไหนผ่านการรับรองนี้ ก็สามารถมั่นใจได้ว่า ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) มีมาตราฐานและความปลอดภัยสูง จนได้รับความไว้วางใจในระดับสากลและใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก

Reverie Clinic

2. HCCLTM  Technology


เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ลิขสิทธิ์เฉพาะของโรงงาน BNC เทคโนโลยี HCCLTM คืออะไร ก่อนจะเข้าใจเทคโนโลยีนี้ได้ มาทำความเข้าใจพื้นฐานการผลิตเจลฟิลเลอร์เบื้องต้นกันก่อน

โดยปกติโมเลกุล HA ในฟิลเลอร์จะฟอร์มตัวเป็นเนื้อเจล คงทน สลายช้า อยู่ได้นาน ต้องผ่านกระบวนการสร้างพันธะ หรือที่เรียกว่า Cross linked โดยการใส่สารที่ชื่อว่า BDDE (Butanediol diglycidyl ether) เพื่อสร้างพันธะ ยิ่งเติมมาก พันธะโมเลกุลยิ่งจับกันแน่น แต่การเติมสาร BDDE มากเกินไป จนเกิด BDDE ส่วนเกิน ที่ไม่ได้ถูกนำไปสร้างพันธะ สารส่วนเกินเหล่านี้จะกลายเป็นสารตกค้างในชั้นผิว ก่อให้เกิดอาการแพ้ กระตุ้นการอักเสบตามมาหลังการเติมฟิลเลอร์

HCCLTM (Highly Completed Cross-Linking) technology เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงในการสร้าง Cross linked ทำให้เนื้อโมเลกุลจับตัวกันได้ โดยใช้สาร BDDE น้อยลงอย่างมาก นอกจากเนื้อฟิลเลอร์ที่ผลิตด้วยกระบวนการนี้จะขึ้นรูปดี มีความเป็น 3D Matrix structure แล้ว ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) ยังมีสาร BDDE น้อยมาก จึงมีความเป็นพิษต่ำ ลดโอกาสเกิดการอักเสบหลังเติมฟิลเลอร์ โดยรวมแล้ว เนื้อเจลที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี HCCLTM จะมีความคงตัวสูง เกาะตัวได้ดี คงทน แต่ยังเกลี่ยง่าย เรียบเนียน ไม่ไหล ไม่เป็นก้อน จึงเหมาะสำหรับการเติมเต็ม เพิ่ม Volume ที่ใบหน้า ให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ อยู่นาน และมีความปลอดภัยในระยะยาว

Reverie Clinic

3. ผ่านการรับรอง FDA DMF และ EDQM


ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid; HA) ที่เป็นสารประกอบหลักของฟิลเลอร์นั้น อย่างที่ได้กล่าวไป พบได้ในสกินแคร์ในหลาย ๆ แบรนด์ ซึ่ง HA ในสกินแคร์และฟิลเลอร์นั้น เป็นคนละเกรดกัน โดย HA ที่จะนำมาใช้เติมเต็มใบหน้าได้นั้น จะต้องเป็นเกรดตัวยา (Pharmaceutical grade) เท่านั้น ซึ่งเกรดตัวยาบ่งบอกถึงความปลอดภัยสูงสุดของตัวยานั้น ๆ ไม่ว่าจะเรื่องความบริสุทธิ์ ปลอดเชื้อ สารพิษปนเปื้อนต่ำ ไม่ก่ออันตรายกับร่างกายมนุษย์ เป็นต้น

ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) ผ่านการรับรอง FDA DMF (Drug Master Files for Active Pharmaceutical Ingredient) และผ่านการรับรอง EQDM (European Directorate for. the Quality of Medicines. and HealthCare) จะเห็นได้ว่าฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้ มีความปลอดภัยสูง จนได้รับการรับรองโดยองค์กรมาตราฐานระดับสากล

Reverie Clinic

4. เทคโนโลยี Particle Plastic Process (PP Process)


ในหลาย ๆ แบรนด์ แม้จะเป็นฟิลเลอร์ชนิดเนื้อเดียว หรือ Monophasic แต่โมเลกุลของ HA ก็ยังมีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน ทำให้เนื้อเจลมีความนิ่ม ละเอียดลดลง

แต่ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) ใช้เทคโนโลยีสิทธิบัตรขั้นสูงที่เรียกว่า Particle Plastic Process (PP Process) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ทุกโมเลกุลในเนื้อเจลมีขนาดเท่า ๆ กัน อย่างสม่ำเสมอ ฟินิชเนื้อสัมผัสของฟิลเลอร์จึงมีความเนียน ละเอียด กลืนไปกับผิวได้ดีมาก ไม่เป็นก้อน อีกข้อดีสำคัญคือ ขณะฉีด เมื่อแพทย์ดันยาจากเข็มฉีด หากเนื้อเจลละเอียด ก็จะสามารถดันยาได้ง่าย ปล่อยยาได้ตรงจุดมากขึ้น ขณะเติมเนื้อเจลไม่บาดผิว ทำให้คนไข้รู้สึกสบาย ไม่เจ็บ ในคนไข้ที่กลัวเจ็บมาก ๆ หมอจะพิจารณาเลือกใช้ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) เพื่อให้ทนต่อการรักษาได้ดีขึ้น

Reverie Clinic

ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) มีกี่รุ่น แต่ละรุ่นต่างกันยังไง?


เป็นที่ทราบกันว่าฟิลเลอร์เพียงรุ่นเดียว เนื้อเดียว ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทุกจุดบนใบหน้าได้ ทุกแบรนด์จึงผลิตฟิลเลอร์หลายเนื้อ (รุ่น) เพื่อตอบโจทย์การรักษาในแต่ละแบบ โดยปกติหากจะเติมชั้นลึกก็ต้องใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ส่วนเติมชั้นตื้นก็ต้องใช้ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม จึงจะเนียนไม่เป็นก้อน และดูเป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) ก็เช่นกัน ได้มีการคิดค้นพัฒนาสูตรเพื่อให้ได้เนื้อฟิลเลอร์ที่ใช้แก้ปัญหาได้ครอบคลุม โดยมีด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นดังนี้

Volifil รุ่น Classic (คลาสสิค)

REVERIE CLINIC | VOLIFIL

รุ่นคลาสสิค กล่องสีทอง มีลักษณะเนื้อเจล นิ่ม เนียนละเอียด เกลี่ยง่าย กลืนไปกับผิวได้ดี ไม่เป็นก้อน จึงเหมาะกับการเติมผิวชั้นตื้น ใช้สำหรับแก้ปัญหาร่องตื้น ๆ และบริเวณที่ผิวบางมาก ๆ เช่น ใต้ตา หน้าผาก ร่องแก้มชั้นตื้น ร่องน้ำหมากชั้นตื้น รวมถึงใช้ฉีดปากในรายที่มีเนื้อปากเดิม และไม่ต้องการเพิ่มความหนาของปาก สามารถใช้รุ่นนี้เติมลดร่องบนริมฝีปาก เพิ่มความชุ่มชื้น ลดอาการปากแห้ง ลดการทาลิปแล้วตกร่องได้อีกด้วย



Volifil รุ่น Deep (ดีพ)

REVERIE CLINIC | VOLIFIL

รุ่นดีพ กล่องสีชมพู เนื้อเจลมีความแข็งปานกลาง ยืดหยุ่น แต่ยังคงเกลี่ยง่าย กลืนไปกับชั้นผิวได้ดี เหมาะกับการเติมเต็มบริเวณชั้นไขมัน และเติมชั้นลึกในคนที่มีผิวบาง สามารถใช้เติมบริเวณ ริมฝีปาก ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ใต้ตาชั้นลึก ได้ดี



Volifil รุ่น SubQ (ซับคิว)

REVERIE CLINIC | VOLIFIL

รุ่น SubQ กล่องสีเทา มีลักษณะเนื้อเจลแข็ง และคงตัวที่สุดในตระกูลของฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) ด้วยความแข็งของเนื้อฟิลเลอร์ จึงขึ้นทรงได้ดี ทำให้บริเวณที่เติม ดูเต็มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เหมาะสำหรับใช้ฉีดบริเวณผิวชั้นลึก แก้ไขจุดที่ขาดปริมาตร พยุงเส้นเอ็น รวมถึงทดแทนกระดูกที่ทรุดไปตามอายุ เหมาะกับการเติมบริเวณขมับ คาง หน้าแก้ม รวมถึงสร้างกรอบหน้าให้มีมิติคมชัด ในบางเคสที่ปากบางมาก ๆ และต้องการทรงที่เด่นชัด สามารถใช้รุ่นนี้เติมริมฝีปากได้เช่นกัน



Reverie Clinic

ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) แต่ละรุ่น สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง?


Reverie Clinic

ฟิลเลอร์ Volifil หลังเติมจะเป็นก้อนหรือไม่?


โดยปกติฟิลเลอร์โมเลกุลเนื้อเดียวหรือ Monophasic หลังเติมมีโอกาสเป็นก้อนน้อยมาก ยิ่งถ้าเติมกับแพทย์ที่ชำนาญ และเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่เหมาะกับผิวของคนไข้ เติมถูกตำแหน่ง โอกาสเป็นก้อนยิ่งต่ำมาก

จากประสบการณ์ที่หมอได้ลองใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้ และติดตามผลการรักษา ยังไม่พบคนไข้ที่มีปัญหาเป็นก้อนหลังเติม โดยได้ลองใช้บริเวณที่พบปัญหาการเป็นก้อนได้บ่อย เช่น ใต้ตา ปาก คาง หรือกระทั่งคนไข้ผิวบางมาก ๆ หลังใช้ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) เมื่อติดตามไปหลายเดือนก็ไม่พบเคสที่เป็นก้อนเช่นกัน

Reverie Clinic

ฟิลเลอร์ VOLIFIL หลังเติมบวมหรือไม่ ?


โดยทั่ว ๆ ไปฟิลเลอร์ชนิดเนื้อเดียว หรือ Monophasic หลังเติม จะมีความบวมมากกว่าชนิด Biphasic ทำให้เวลาเติมฟิลเลอร์ชนิดเนื้อเดียว ต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ เนื่องจากต้องกะปริมาณเผื่อให้ฟิลเลอร์ฟูขึ้นหลังเติม คาดการณ์ให้พอดีกับเนื้อผิวมากที่สุด

แต่ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) มีความพิเศษตรงที่หลังเติมจะบวมน้อยมาก แม้จะเป็นฟิลเลอร์ชนิดเนื้อเดียว หรือ Monophasic ก็ตาม จากประสบการณ์ที่หมอได้ลองใช้ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) หลังเติมจะบวมแค่เล็กน้อยใน 1-2 วันแรก และเข้าที่ได้ไว ทำให้คนไข้ไม่ต้องพักหน้านาน กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ในไม่กี่วัน ซึ่งการที่ยุบบวมไวแม้จะเป็น Monophasic นี้เป็นคุณสมบัติพิเศษของฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) ทำให้ใช้งานได้ง่าย ผลข้างเคียงหลังทำน้อย คนไข้หลายคนจึงประทับใจและชื่นชอบฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้ อย่างไรก็ตามเรื่องความบวมขึ้นกับหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยของตัวคนไข้ ตำแหน่งที่เติม รวมถึงปริมาตรฟิลเลอร์ที่ใช้ในตำแหน่งนั้น ๆ หากเติมปริมาณเยอะ ๆ ในจุดที่ผิวบาง ก็อาจจะเกิดอาการบวมได้เช่นกัน

อาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์เป็นอาการที่พบได้บ่อย หลังเติมหากเกิดอาการบวมบ้าง ไม่ต้องตกใจ ผ่านไป 3-7 วัน จะค่อย ๆ บวมลดลง โดยส่วนมากหายได้เองไม่ต้องทำการรักษาเพิ่มเติม

Reverie Clinic

ฟิลเลอร์ VOLIFIL หลังเติมมีผลข้างเคียงหรือไม่?


ฟิลเลอร์ไม่ว่าจะชนิดหรือยี่ห้อใด สามารถเกิดผลข้างเคียงใกล้เคียงกันเท่า ๆ กัน ปัจจัยที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นกับความชำนาญของแพทย์ และการเลือกเนื้อฟิลเลอร์ให้ถูกกับผิวคนไข้และปัญหาที่ต้องการแก้ไข โดยผลข้างเคียงที่พบได้ แบ่งคร่าว ๆ ได้สองแบบ

1. ผลข้างเคียงระดับเล็กน้อย เช่น อาการบวม ระบม รอยช้ำบริเวณที่ฉีด เป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยเฉลี่ยจะหายไปเองใน 3-7 วัน

2.ผลข้างเคียงระดับรุนแรง เช่น การอักเสบ ติดเชื้อหรือฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด พบได้น้อยมากหากฉีดโดยแพทย์ที่ชำนาญ ซึ่งรู้กายวิภาค ตำแหน่งเส้นเลือดบนใบหน้าเป็นอย่างดี หรือหากเกิดก็สามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีโดยไม่ทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา โดยหลังเติม หากคนไข้สังเกตพบความผิดปกติ ให้รีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด

Reverie Clinic

ฟิลเลอร์ VOLIFIL (โวลิฟิล) อยู่ได้นานหรือไม่?


ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มที่สลายได้เองโดยธรรมชาติ โดยปกติฟิลเลอร์ที่เนื้อแข็งจะอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์ที่เนื้อนิ่มรวมถึงเทคโนโลยีพิเศษของแต่ละแบรนด์ที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ฟิลเลอร์อยู่นานมากขึ้น โดยฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) ใช้เทคโนโลยี HCCLTM (Highly Completed Cross-Linking) technology จึงทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานกว่าแบรนด์เกาหลีทั่ว ๆ ไป เมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ที่มีค่าความแข็งในระดับใกล้เคียงกัน

  • Volifil รุ่น Classic (คลาสสิค) อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
  • Volifil รุ่น Deep (ดีพ) อยู่ได้นาน 12-14 เดือน
  • Volifil รุ่น SubQ (ซับคิว) อยู่ได้นาน 12-15 เดือน

อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานหรือไม่ นอกจากชนิดของฟิลเลอร์แล้ว ยังขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนไข้และการดูแลตัวเองหลังทำด้วยเช่นกัน จากประสบการณ์ของหมอ หากคนไข้ดูแลตัวเองหลังทำอย่างต่อเนื่อง ฟิลเลอร์มีโอกาสอยู่ได้นานกว่าระยะเวลาปกติ กลับกัน คนไข้ที่ละเลยข้อปฎิบัติหลังฉีด เนื้อฟิลเลอร์ก็อาจอยู่ได้สั้นกว่าระยะเวลาที่ควรจะเป็นได้ด้วยเช่นกัน

Reverie Clinic

ฟิลเลอร์ VOLIFIL (โวลิฟิล) มีวิธีเช็คของแท้อย่างไรบ้าง?


สถานการณ์ปัจจุบัน ฟิลเลอร์ปลอมระบาดหนัก และเมื่อพลาดเติมฟิลเลอร์ปลอมเข้าไปแล้ว การจะเอาออกมีวิธีเดียวคือ ผ่าตัดหรือขูดออกเท่านั้น เพราะฟิลเลอร์ปลอมไม่สามารถฉีดยาสลายได้ตามปกติ แม้จะผ่าตัดหรือขูดออก โดยแพทย์ที่ชำนาญ ก็ไม่มีวิธีใดที่จะกำจัดฟิลเลอร์ปลอมออกให้หมดจากผิวได้ 100% ซึ่งฟิลเลอร์ปลอมที่หลงเหลืออยู่ในร่างกาย เมื่อระยะเวลาผ่านไป อาจจะก่อปัญหาตามมาในระยะยาวได้ เช่น ไหลไปจุดอื่นบนใบหน้า เกิดการติดเชื้อ มีหนองไหลเป็น ๆ หาย เป็นต้น

หมออยากให้ทุกคนทราบวิธีการเช็คฟิลเลอร์แท้เบื้องต้น ก่อนจะตัดสินใจเติมสารใด ๆ เข้าสู่ใบหน้า นอกจากดูความน่าเชื่อถือของคลินิกแล้ว เราควรต้องเช็คเองได้เบื้องต้น เพราะหลังเติมไปแล้ว ถ้าเป็นของปลอม เราไม่สามารถย้อนเวลาผิวให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ และต้องเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงไปตลอดชีวิต

โดยฟิลเลอร์แท้ทุกยี่ห้อจะมีจุดเช็คสากลอยู่จุดหนึ่งนั่นคือ การตรวจสอบเลขรหัสกำกับสินค้า หรือเลขล็อตนัมเบอร์ (Lot Number) ซึ่งตัวเลขนี้จะมีระบุไว้ที่นอกกล่อง ซึ่งตัวเลขด้านนอกจะต้องตรงกับส่วนใดส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ด้านในเสมอ (เช่น สติ๊กเกอร์ เลขบนหลอด เลขบนซอง เป็นต้น)

สำหรับฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) มีจุดสังเกตในส่วนของเลขล็อตนัมเบอร์ ที่ตัวเลขบนกล่องจะตรงกับตัวหลอดด้านใน อีกทั้งยังมี QR code จากบริษัท ที่เมื่อสแกนแล้ว จะขึ้นโชว์ตัวเลขล็อตนัมเบอร์ที่ตรงกันกับบนกล่องและหลอด รวม 3 จุดอีกด้วย ตอกย้ำความปลอดภัย ให้คนไข้มั่นใจสูงสุด รวมถึงสามารถสังเกตสติ๊กเกอร์ Hologram ที่ถูกปิดผนึกอย่างดี ซึ่งหากถูกแกะแล้วจะมีรอยสัญลักษณ์ว่าเคยถูกเปิดใช้งานให้เห็นได้อย่างชัดเจน

Reverie Clinic

ฟิลเลอร์ Volifil (โวลิฟิล) มีวิธีดูแลตัวเอง ก่อนหรือหลังเติมอย่างไร?


ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี

หลาย ๆ คนมักลังเลเมื่อจะต้องเลือกคลินิกศัลยกรรมหรือสถานพยาบาลสำหรับศัลยกรรมอย่างแน่นอนไม่ใช่ที่ไหนก็ได้ แต่จะต้องเป็นที่ที่มีมาตรฐานความปลอดภัย มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ความชำนาญและประสบการณ์ การนัดติดตามผลเพื่อเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง นอกจากนี้ปัจจัยอื่น ๆ ก็เป็นทางเลือกอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นระยะการเดินทาง ลานจอดรถ สิ่งอำนวยความสะดวก (service care) การรีวิวเคสการผ่าตัดจริง เป็นต้น ซึ่งที่ Reverie Clinic เป็นคลินิกที่พร้อมดูแลให้คุณทั้งช่วงระยะการปรึกษาขั้นต้นก่อนทำ หลังทำ โดยคำนึงถึงความสวยงามและความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก

โดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรที่มากประสบการณ์ดูแลคนไข้ ใส่ใจทุกขั้นตอน สวยอย่างปลอดภัย ตอบสนองความต้องการของผู้มาใช้บริการในราคาที่เป็นมิตร และพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ ก้าวทันเทคโนโลยีอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความพึงพอใจสูงสุด

Reverie Clinic

รีวิวเคสฟิลเลอร์



Reverie Clinic

ช่องทางติดต่อ


Reverie Clinic ปรับรูปหน้า โดยหมอบี หมอปั๊ม
15 Phaya Thai Rd, Thanon Phaya Thai, Ratchathewi, Bangkok 10400